วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

แต่งกายสมวัย...หัวใจของบุคลิกภาพที่เหมาะสม

มีเครื่องแต่งกายสวยๆ ให้เลือกหามาสวมใส่ในราคาไม่สูงอย่างนี้ก็สะดวกดี...สำหรับคนที่รู้จักแต่ง กาย แต่สำหรับอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ว่าการแต่งกายที่ดีควรเป็นอย่างไรกลับยิ่ง เป็นปัญหา...

เสื้อผ้าดูจากภายนอกสวย และคิดว่าเหมาะกับตัวเอง เลยทำให้นึกว่าพอใจอย่างไหนก็หยิบจับมาสวมใส่ได้ทั้งนั้น แต่เสื้อผ้าบางชุดมันสามารถทำให้ผู้สวมใส่ดูเฉิดฉายหรือกลายเป็นมลพิษทางสาย ตาสำหรับประชาชนผู้พบเห็นได้เท่าๆกัน ถ้าผู้สวมใส่นั้นลืมนึกถึงคำสำคัญอีกคำหนึ่งซึ่งเป็นหัวใจของการแต่งกายนั่น ก็คือ ความเหมาะควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องวัยของผู้สวมใส่ ทำให้หลายคนต้องกลายเป็นเด็กแก่แดดหรือเฒ่าทารกให้ใครๆ เขาตลกขบขันไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว นอกจากนี้ยังอาจเพิ่มความยุ่งยากวุ่นวายให้กับเจ้าหน้าที่จัดระเบียบสังคม ในการตรวจบัตรประจำตัวประชาชนโดยไม่จำเป็นไปด้วย

วัย...สถานภาพหนึ่งทางสังคม
เหตุที่ต้องคำนึงถึงวัยประกอบกับการแต่งกายไม่ใช่เป็นเรื่องของการกีดกัน ก้าวกายอะไรทั้งสิ้น แต่เป็นเรื่องของสถานะภาพของแต่ละคนที่สังคมจะพึงรับรู้และยอมรับร่วมกัน ว่าคนแต่ละวัยมีบทบาทหน้าที่อะไรบ้างและสมควรจะได้รับการปฏิบัติที่เหมาะ สมอย่างไรจากสังคม โดยเฉพาะในสังคมไทยที่มีความชัดเจนในเรื่องของวัยมาแต่ดั้งเดิม ดังมีคำโบราณว่าจะทำอะไรก็ต้อง
รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ เป็นสิ่งยืนยัน เพราะฉะนั้นการแต่งเนื้อแต่งตัวที่เหมาะสมกับวัยจึงเป็นเสมือนกับการยืนยัน กับสังคมว่าคนเราแต่ละคนนั้นอยู่ในวัยเด็ก หนุ่มสาว หรือวัยผู้ใหญ่ เพื่อที่จะได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมจากสังคมนั่นเอง แต่หากคุณคิดว่าตัวของฉันจะตกแต่งอย่างไรมันก็เรื่องของฉันโดยไม่คำนึงถึง เรื่องความเหมาะสมนี้แล้ว คุณอาจต้องหงุดหงิดเวลาพบกับผู้คน ยกตัวอย่างเรื่องง่ายๆ พื้นฐานเลยก็คือการไหว้ทักทายกันคุณจะรำคาญใจแค่ไหนถ้าทั้งวันต้องคอยรับ ไหว้จากคนที่โตกว่าหรือในทางกลับกันก็คือคนที่เด็กกว่า ซึ่งไม่แสดงความเคารพต่อคุณตามที่ควร ทั้งนี้เป็นผลมาจากการแต่งกายไม่ได้เหมาะสมกับวัยหรือสถานภาพของบุคคลที่ เป็นจริง

วัยเด็ก ความบริสุทธิ์ที่ไม่ต้องปรุงแต่ง
วัยเด็กหมายความโดยกว้างๆ ว่าเป็นคนที่ยังรับผิดชอบตัวเองไม่ได้ยังต้องอยู่ในความคุ้มครองดูแลของพ่อ แม่ผู้ปกครองอยู่ ดังนั้นเวลาพูดถึงวัยเด็กหลายคนก็จะรวมเข้าไปถึงหนุ่มสาว วัยรุ่นก่อนทำงานด้วยในวัยนี้สังคมทั่วไปมักคาดหวังที่จะเห็นการแต่งกายและ พฤติกรรมที่น่ารักสดใสมีชีวิตชีวาตามธรรมชาติ การไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยคือค่านิยมที่ถือว่าเหมาะกับวัยเพราะว่ายังหาเงิน ใช้เองไม่ได้ ต้องขอเงินพ่อแม่ใช้ ต่อให้บางคนถือบัตรเครดิตก็ยังเป็นบัตรเสริมหรือว่าบัตรที่พ่อแม่ช่วยชำระ เงินให้ เพราะฉะนั้นเด็กที่แต่งเนื้อแต่งตัวแพงๆ ใช้ข้าวของราคาเดียวกับผู้ใหญ่ตลอดเวลาจึงถูกมองว่าไม่น่าชื่นชม จริงอยู่ที่วัยเด็ก โดยเฉพาะเมื่อย่างเข้าวัยรุ่นนั้นก็อยากจะสวยอยากจะเท่ อยากจะแต่งตัว แต่สิ่งที่เด็กหรือวัยรุ่นทุกคนต้องรู้ตัวก็คือ เสน่ห์ของวัยนี้คือธรรมชาติที่สดใสสะอาดบริสุทธิ์ในตัวตนของแต่ละคนโดดเด่น เท่านั้น ถ้ามองเห็นจุดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ในตัวตนของแต่ละคนเหมือนกับเพชรเหลี่ยม งามน้ำสวยก็ควรจะวางอยู่บนเรือนที่ประดิษฐ์ลวดลายอลังการดาวล้านดวงแบบสุดๆ ก็จะดูเป็นเพชรลิเกไปเสีย เพราะว่าตัวเรือนนั้นกระโดดโลดลิ่วออกมาเข้าตากรรมการจนชิงเอาความโดดเด่น ของอัญมณีเม็ดงามไปอย่างน่าเสียดาย

ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้จึงพอจะบอกได้ว่า การแต่งกายที่เหมาะสมสำหรับวัยเด็กจนถึงวัยรุ่นก็คือการแต่งกายด้วยอาภรณ์ ที่สดใส สุภาพ ไม่ได้บอกว่าต้องเชยนะ เพียงแต่ไม่ระบายย้วยซับซ้อนผูกปมข้างหน้าข้างหลังแถมเข็มขัดตุ้งติ้งรอบเอว นั้นอย่าได้หยิบมาสวมใส่เลยจะเป็นดี ที่สำคัญต้องเน้นความสะอาดเรียบร้อย รวมความไปถึงรองเท้ากระเป๋าอะไรต่างๆทั้งหมด ตลอดจนความสะอาดของร่างกายด้วย ในวัยนี้ไม่ควรใช้เครื่องประดับมีค่าที่มีขนาดใหญ่และมีจำนวนหลายชิ้น มีเพียงนาฬิกาข้อมือกับสร้อยหรือแหวนขนาดน่าเอ็นดูก็พอแล้ว และที่สำคัญคือการแต่งกายที่เซ็กซี่ยั่วยวนหยาดเยิ้มนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ เหมาะกับคนวัยนี้ในทุกกรณี เคยเห็นเด็กในวัยศึกษาบนรถไฟฟ้าที่หน้าตาน่ารักแต่สวมเสื้อรัดตัว ต้องบอกว่ารัดนะไม่ใช่พอดีตัวธรรมดา รัดชนิดที่ในแต่ละวัน คิดว่าผ้าเมตรนึงตัดเสื้ออย่างนั้นได้สองตัวแล้วแทบจะเห็นตัวอย่างสินค้า ข้างในได้ทั้งโกดัง ดูรวมกับกิริยาวาจาที่เธอใช้กับเพื่อนชายแล้วเข้าใจได้ว่าเธอต้องการทำตัว เป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นความสดสวยสดใสที่มีอยู่จึงหดหายดูไร้ค่าไปเสียหมด เพราะว่าอาภรณ์และบุคลิกแบบเด็กที่รีบร้อนจะโตของเธอนั่นเอง

ผู้ใหญ่...วัยของความน่าเชื่อถือและรับผิดชอบ
สำหรับวัยผู้ใหญ่เป็นวัยที่ต้องแสดงความรับผิดชอบให้สังคมเห็น เป็นวัยที่จำเป็นต้องสื่อสารให้สังคมเชื่อมั่นว่าเป็นผู้ที่เชื่อถือได้ เพราะว่าวัยผู้ใหญ่เป็นวัยที่สร้างผลงานสร้างตัวสร้างครอบครัวและสั่งสม เกียรติยศชื่อเสียงให้กับตนเองและวงศ์ตระ***ล การเป็นที่ยอมรับนับถือจึงเป็นปัจจัยสำคัญ การแต่งกายของวัยผู้ใหญ่จะเป็นเรื่องเป็นราวชัดเจนมากขึ้นมีการแยกชุดทำงาน ชุดออกกำลังกาย ชุดออกงาน ชุดลำลองเป็นสัดส่วนชัดเจน ทั้งนี้เป็นเพราะว่าทุกๆกิจกรรมนั้นเป็นเรื่องของการติดต่อสัมพันธ์กับสังคม ทั้งสิ้น ดังนั้นในวันหนึ่งๆ ของวัยนี้อาจต้องมีการเปลี่ยนเครื่องแต่งกายหลายชุดตามประเภทกิจกรรมที่ทำ และกาลเทศะต่างๆ ในแต่ละช่วงเวลา เช่น ตอนเช้าไปทำงานก็ต้องแต่งกายสุภาพดูคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง กลางวันมีประชุมต้องสวมแจ็คเก็ตทับเพิ่มความสุภาพ และเหมาะสมเป็นการเป็นงานมากขึ้น เลิกงานออกกำลังกาย ก็ต้องเตรียมชุดผ้ายืดรองเท้าผ้าใบไปเปลี่ยน ค่ำไปงานศพอาจต้องเปลี่ยนเป็นชุดขาวดำสุภาพ หรือถ้าไปงานเลี้ยงก็ต้องมีชุดออกงานที่เข้ากับบรรยากาศของงานอีกหนึ่งชุด ประเภทชุดนอนชุดเที่ยวชุดเดียวกันนั้นไม่อาจนำมาใช้ได้กับวัยผู้ใหญ่ไม่เช่น นั้นแล้วการไปร่วมกิจกรรมสังคมต่างๆ ในแต่ละวันของคุณจะเป็นกิจกรรมที่นอกจากจะสร้างความอึดอัดให้กับทุกคนแล้ว ภาพสะท้อนของคุณที่สังคมจะมองมาก็คือ การไม่รู้จักความเหมาะสม การไม่รู้กาลเทศะของคุณ ซึ่งรวมแล้วก็คือทำให้คุณถูกมองว่าไม่เป็นผู้ใหญ่พอนั่นเอง

สิ่งที่น่าลำบากใจสำหรับหลายคนโดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบวุ่นวายกับเรื่องการแต่ง กายนักก็คือ การจัดเตรียมเลือกหาเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เหมาะสมกับกาลเทศะต่างๆ ดังนั้นจึงเห็นว่าหลายท่านเลือกแต่งกายแบบเรียบๆ ใช้สีหลักๆประเภท ขาว เทา น้ำเงิน ฟ้า กรมท่า เป็นส่วนใหญ่ เพื่อที่จะหยิบจับชิ้นไหนมากระเป๋า เครื่องประดับ ผ้าพันคอ หรือเน็คไทสำหรับคุณสุภาพบุรุษก็ช่วยลดความยุ่งยากไปได้มากที่สำคัญก็คือขอ ให้สะอาดเรียบร้อยและอย่าได้แต่งกายผิดกาลเทศะเป็นอันขาด ผู้ที่กำลังเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ต้องฝึกไว้ให้เคยชิน จากวัยเด็กที่เคยแต่งกายง่ายๆ ได้ทุกสถานการณ์มาสู่วัยผู้ใหญ่คงต้องใช้เวลาเรียนรู้สักนิด แต่เมื่อทำจนเป็นนิสัยแล้วก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเอง

การแต่งกายก็เหมือนการรับประทานอาหาร คือ ต้องเลือกรับประทานให้ครบหมู่ไม่ใช่ว่าชอบไข่ดาวก็จะเรียกหาแต่ไข่ดาวทุก มื้อไม่ชอบผักใบเขียวก็ต้องหัดรับประทานบ้าง ก่อนจะเป็นโรคภัยเพราะขาดสารอาหารและต้องดูแลใส่ใจเรื่องความสะอาด อาหารแต่ละอย่างก็มีวิธีรับประทานที่ต่างกันไป ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ฝึกฝน อาหารจีนก็ต้องใช้ตะเกียบ อาหารยุโรปก็ใช้มีดใช้ส้อม แต่ถ้ากินเมี่ยงคำก็ต้องใช้มือ การแต่งกายก็ทำนองเดียวกันนี้ต้องฝึกต้องปรับตัวปรับความพอใจในแต่ละ สถานการณ์ คือต้องรู้จักแต่งกายในแบบต่างๆ ที่เหมาะควร ไม่ต่างกับการรับประทานอาหารสักนิด ใครที่เคยบ่นรำคาญการแต่งกายให้ถูกกาลเทศะว่ายุ่งยากวุ่นวายลองเปลี่ยนมุม มองดูหน่อย เทียบกันแล้วบางทีเรื่องการับประทานอาหารจะมีอะไรยุ่งยากมากกว่าเสียตั้ง เยอะ...

ข้อความจาก : เว็บไซต์ 108health

สิ่งที่คุณอาจอยากรู้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ลงโฆณษา